ทำความเข้าใจปัจจัยภายในองค์กรที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตและสุขภาวะของพนักงาน
- ธารีวรรณ เทียมเมฆ
- 23 ธ.ค. 2567
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 21 ก.พ.
จากประสบการณ์การทำงานเป็นนักจิตวิทยา ดิฉันพบว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพจิตและสุขภาวะของคนเรานั้นมีความหลากหลาย ชีวิตประจำวันของเราล้วนเต็มไปด้วยตัวแปรที่ส่งผลต่อสภาวะทางอารมณ์และจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญยิ่ง เนื่องจากมนุษย์วัยผู้ใหญ่ใช้เวลามากกว่าหนึ่งในสามของวันไปกับการทำงาน
งานวิจัยเชิงอนุมานฉบับหนึ่งในปี 2024 ที่ศึกษาปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตและสุขภาวะของพนักงาน ได้แก่ ปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ ปัจจัยภายในองค์กร และปัจจัยส่วนบุคคล ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ดิฉันสนใจปัจจัยภายในองค์กรมากเป็นพิเศษ เพราะงานส่วนหนึ่งของดิฉันเกี่ยวข้องกับการดูแลบุคลากรในองค์กรเป็นจำนวนมาก ดิฉันเล็งเห็นว่าองค์กรต่าง ๆ สามารถนำข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อสุขภาพจิตและสุขภาวะที่ดีของพนักงาน
ในบทความนี้ ดิฉันจึงขอนำเสนอข้อค้นพบจากงานวิจัยดังกล่าว โดยมุ่งเน้นไปที่ปัจจัยภายในองค์กร ทั้งปัจจัยที่ส่งผลกระทบ (Inhibitors) และปัจจัยส่งเสริม (Facilitators) และนำเสนอแนวทางการปรับปรุงแก้ไขที่องค์กรสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตการทำงานของพนักงาน และเพิ่มศักยภาพในการทำงานขององค์กรอย่างยั่งยืน

1. ปัจจัยภายในองค์กรที่มีผลกระทบต่อสุขภาพจิตและสุขภาวะของพนักงาน (Inhibitors at Meso-Level)
ปัจจัยภายในองค์กรที่มีผลกระทบต่อสุขภาพจิตและสุขภาวะของพนักงาน ได้แก่ การกระทำและการปฏิสัมพันธ์ที่เป็นอันตรายในที่ทำงาน ข้อเรียกร้องในงานและสภาพการทำงาน ข้อเรียกร้องทางจิตใจ ความขัดแย้งระหว่างงานและครอบครัว ความขัดแย้งในที่ทำงาน และการเปลี่ยนแปลงองค์กร
รายละเอียดมีดังนี้
1.1 การกระทำและปฏิสัมพันธ์ที่เป็นอันตรายในที่ทำงาน (Harmful workplace action and interactions)
การกระทำต่าง ๆ เช่น การกีดกัน การไร้มารยาท การเลือกปฏิบัติ การกลั่นแกล้ง และความรุนแรง ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของพนักงาน
ผู้หญิงมักตกเป็นเหยื่อมากกว่าผู้ชายและประสบความเครียดทางจิตใจมากกว่า
ผู้ชายมีแนวโน้มสูญเสียทรัพยากรและศักดิ์ศรีเมื่อเผชิญกับการไร้มารยาท
ผู้ที่มีการศึกษาสูงอาจอ่อนไหวต่อการปฏิบัติที่ไม่เคารพมากกว่าผู้มีการศึกษาต่ำกว่า
ความฉลาดทางอารมณ์สูงช่วยลดผลกระทบเชิงลบของการไร้มารยาท
การกลั่นแกล้งที่ยืดเยื้อนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรง
การใช้อำนาจในทางที่ผิดของหัวหน้างานส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต โดยเฉพาะกับพนักงานผู้หญิง และมีผลกระทบเป็นทอด ๆ (trickle-down effect) กล่าวคือ ผลกระทบที่พฤติกรรมการใช้อำนาจในทางที่ผิดของหัวหน้างานส่งผ่านไปยังพนักงานในระดับล่างลงไปเรื่อย ๆ
1.2 ข้อเรียกร้องในงาน (Job demands)
ข้อเรียกร้องในงานที่มากเกินไป เช่น ภาระงานหนัก ชั่วโมงการทำงานยาวนาน ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต นำไปสู่ความเครียด ภาวะซึมเศร้า และความเหนื่อยล้า
ข้อเรียกร้องในงานที่มากเกินไปนำไปสู่ภาวะ Presenteeism (มาทำงานแต่ไร้ประสิทธิภาพ)
การทำงานล่วงเวลา แม้จะมีประโยชน์ด้านรายได้ แต่ก็ส่งผลเสียต่อสมดุลชีวิตและครอบครัว
พนักงานภาครัฐที่มีแรงจูงใจสูง อาจให้ความสำคัญกับชั่วโมงการทำงานน้อยกว่าพนักงานภาคเอกชน
1.3 ลักษณะของงาน (Nature of work)
ลักษณะงานบางประเภทมีความเสี่ยงต่อการเกิดความเครียดและความเหนื่อยล้าทางอารมณ์มากกว่า
งานที่ต้องใช้แรงงานทางอารมณ์สูง เช่น งานบริการ งานที่ต้องติดต่อกับผู้คนตลอดเวลา
งานโครงการ (project-based work) แม้จะมีความท้าทายแต่ก็อาจส่งผลดีต่อสุขภาพจิตได้หากรู้สึกว่างานนั้นมีความหมายและคุ้มค่า
อาชีพด้านสุขภาพจิต มีความเสี่ยงต่อความเครียดและความเหนื่อยหน่ายสูง
1.4 ความขัดแย้งในที่ทำงาน (Workplace conflict)
ความขัดแย้งในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งด้านความสัมพันธ์ หน้าที่ กระบวนการทำงาน และความขัดแย้งภายในกลุ่ม ส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ สุขภาพจิต และสุขภาวะของพนักงาน
ความขัดแย้งด้านความสัมพันธ์มีความสัมพันธ์กับความเหนื่อยหน่ายและภาวะซึมเศร้า
ความขัดแย้งในหน้าที่ส่งผลให้พนักงานรู้สึกถูกดูหมิ่นและเกิดอารมณ์เชิงลบ
ความขัดแย้งด้านกระบวนการทำงานมีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้า
ความคลุมเครือในบทบาทและความไม่ลงรอยกันทางอารมณ์ นำไปสู่ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ (แต่ผู้ที่มีความนับถือตนเองสูงจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า)
1.5 ความขัดแย้งระหว่างงานและครอบครัว (Work-family conflict - WFC)
ความขัดแย้งระหว่างความรับผิดชอบในงานและชีวิตส่วนตัวนำไปสู่ความเครียด ความเหนื่อยล้า และความพึงพอใจในงานที่ลดลง พบมากในผู้หญิงที่ทำงานบริหารและงานวิชาชีพ
1.6 การเปลี่ยนแปลงขององค์กร (Organizational change)
การเปลี่ยนแปลงขององค์กร เช่น การปรับโครงสร้าง การลดขนาดองค์กร การควบรวมกิจการ มักส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของพนักงาน ทำให้เกิดความเครียดและความไม่มั่นคง
การเปลี่ยนแปลงขององค์กรไม่ได้ส่งผลเสียในตัวเอง แต่ขึ้นอยู่กับประเภทของการเปลี่ยนแปลงที่องค์กรนำมาใช้และวิธีการดำเนินการ
การสื่อสารที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงช่วยลดผลกระทบเชิงลบได้
การมีส่วนร่วมและการสนับสนุนจากองค์กรมีความสำคัญต่อการปรับตัวของพนักงาน
พนักงานที่มีความผูกพันกับองค์กรหลังการควบรวมกิจการที่แข็งแกร่งกว่ามีแนวโน้มที่จะพึงพอใจและมีประสิทธิผลมากกว่า

2. ปัจจัยภายในองค์กรที่ส่งเสริมสุขภาพจิตและสุขภาวะของพนักงาน (Facilitators at Meso-Level)
ปัจจัยภายในองค์กรที่ส่งเสริมหรือมีอิทธิพลเชิงบวกต่อสุขภาพจิตและสุขภาวะของพนักงาน ได้แก่ ลักษณะงานต่างๆ การสนับสนุนในที่ทำงาน นโยบายและแนวปฏิบัติขององค์กร ความยุติธรรมในองค์กร ความลงตัวระหว่างงานและครอบครัว การมีส่วนร่วมของพนักงาน จิตวิญญาณในที่ทำงาน ความเหมาะสมระหว่างบุคคลและงาน/องค์กร (PE/PJ fit) โอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา รูปแบบภาวะผู้นำ และสิ่งกระตุ้นเชิงบวกในการทำงาน
รายละเอียดมีดังนี้
2.1 ลักษณะงาน (Job Characteristics)
ลักษณะงานที่ดี เช่น ความหลากหลาย การระบุเอกลักษณ์ของงาน การได้รับฟีดแบ็คจากงาน อิสระในการใช้ทักษะ ความยืดหยุ่นด้านเวลา การออกแบบงานที่เพิ่มคุณค่า และอิสระในการทำงานและการตัดสินใจ ส่งผลดีต่อสุขภาพจิตและสุขภาวะของพนักงาน
อิสระในการใช้ทักษะ ความหลากหลายของงาน และการได้รับฟีดแบ็คจากงาน มีความสำคัญต่อความพึงพอใจในงาน
ความยืดหยุ่นด้านเวลาช่วยให้พนักงานบริหารจัดการชีวิตส่วนตัวและงานได้ดีขึ้น
การออกแบบงานที่เพิ่มคุณค่า (enriched job design) ช่วยให้งานมีความท้าทายและน่าสนใจมากขึ้น
อิสระในการทำงานและการตัดสินใจช่วยให้พนักงานรู้สึกมีคุณค่าและควบคุมงานได้ แต่ในบางกรณีอาจเป็นภาระและส่งผลเสียในวัฒนธรรมแบบกลุ่มนิยม (collectivist culture)
2.2 การสนับสนุนในที่ทำงาน (Workplace support)
การสนับสนุนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การฝึกอบรม การให้คำปรึกษา การสนับสนุนจากหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน และองค์กร ช่วยลดผลกระทบเชิงลบจากความเครียดและส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดี
การฝึกอบรมและการให้คำปรึกษาช่วยพัฒนาทักษะและความมั่นใจ
การสนับสนุนจากหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี
การสนับสนุนจากองค์กรแสดงถึงความใส่ใจและความห่วงใยต่อพนักงาน
การสนับสนุนทางสังคมมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อมาจากผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า
วัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนและการสื่อสารที่เปิดกว้างช่วยลดความขัดแย้งและความเครียด
2.3 ความยุติธรรมในองค์กร (Organizational justice)
ความยุติธรรมทั้งด้านการกระจายผลประโยชน์ (distributive justice) ด้านกระบวนการทำงาน (procedural justice) และความยุติธรรมระหว่างบุคคล (interpersonal justice) ส่งผลดีต่อการรับรู้ของพนักงานเกี่ยวกับความเป็นธรรมและการสนับสนุนจากองค์กร นำไปสู่ความพึงพอใจและสุขภาพจิตที่ดี
ความยุติธรรมด้านการกระจายผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับความเป็นธรรมในการแบ่งปันผลประโยชน์ เช่น รางวัล การเลื่อนตำแหน่ง
ความยุติธรรมด้านกระบวนการทำงานเกี่ยวข้องกับความเป็นธรรมในกระบวนการตัดสินใจต่าง ๆ
ความยุติธรรมระหว่างบุคคลเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติต่อกันอย่างเคารพและให้เกียรติ
ความไม่เท่าเทียมกันของรางวัลส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่มีอำนาจในงานสูง
2.4 ความลงตัวระหว่างงานและครอบครัว (Work-family fit)
การที่พนักงานสามารถบริหารจัดการความรับผิดชอบทั้งด้านงานและครอบครัวได้อย่างสมดุล ส่งผลดีต่อความพึงพอใจในงาน สุขภาพจิต และสุขภาวะ
การสนับสนุนซึ่งกันและกันระหว่างงานและครอบครัวช่วยลดความเครียดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
การส่งผลดีจากด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านหนึ่ง (positive spillover) ช่วยให้รับมือกับสถานการณ์ด้านลบได้ดีขึ้น
2.5 จิตวิญญาณในที่ทำงาน (Workplace spirituality)
การที่พนักงานรู้สึกว่างานมีความหมาย มีความผูกพันกับองค์กร และค่านิยมในการทำงานสอดคล้องกับค่านิยมส่วนตัว ส่งผลดีต่อสุขภาพจิต สุขภาวะ และการเห็นคุณค่าในตนเอง
ความสอดคล้องระหว่างค่านิยมในการทำงานและค่านิยมส่วนตัว ช่วยเพิ่มสุขภาวะทางจิตใจและลดความเหนื่อยล้าทางอารมณ์และความเหนื่อยหน่าย
2.6 ความเหมาะสมระหว่างบุคคลและงาน/องค์กร (PE/PJ fit)
ความเหมาะสมระหว่างบุคคลกับงาน/องค์กร (PE/PJ fit) ที่ดีช่วยลดความเครียดและเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดี อย่างไรก็ตาม PE/PJ fit ที่สูงเกินไปอาจทำให้พนักงานพึ่งพาตนเองมากเกินไปและละเลยการสนับสนุนทางสังคม
พนักงานที่มี PE/PJ fit ต่ำมักจะแสวงหาการสนับสนุนทางสังคม ซึ่งสามารถช่วยเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีได้
ความสมดุลระหว่างความเหมาะสมกับงาน/องค์กรและการสนับสนุนทางสังคมเป็นสิ่งสำคัญ
2.7 รูปแบบภาวะผู้นำ (Leadership style)
รูปแบบภาวะผู้นำที่สนับสนุน ส่งเสริม และให้อำนาจ ส่งผลดีต่อสุขภาพจิต ความพึงพอใจในงาน และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ในทางกลับกัน ภาวะผู้นำแบบเผด็จการและแทรกแซงส่งผลเสีย
ภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ (servant leadership) แบบจริงแท้ (authentic leadership) แบบเสริมพลัง (empowering leadership) และแบบสร้างความเปลี่ยนแปลง (transformational leadership) ส่งผลดีต่อพนักงาน
การยอมรับความพยายามของพนักงานมีความสำคัญต่อการสร้างแรงจูงใจและความผูกพัน
ภาวะผู้นำแบบสร้างความเปลี่ยนแปลง อาจเพิ่มความเครียดได้หากเพิ่มความรับผิดชอบมากเกินไป
ภาวะผู้นำแบบเผด็จการและแทรกแซง (Authoritarian and interfering leadership) นำไปสู่ความเครียด ความวิตกกังวล และความไม่พึงพอใจในงาน

3. แนวทางการประยุกต์ใช้ข้อค้นพบจากงานวิจัยสำหรับองค์กร
จากงานวิจัยที่ดิฉันได้นำเสนอไป องค์กรสามารถนำข้อค้นพบไปประยุกต์ใช้ในการจัดการกับปัจจัยเสี่ยง และส่งเสริมปัจจัยบวก เพื่อสร้างเสริมสุขภาพจิตและสุขภาวะของพนักงานได้อย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
3.1 สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อสุขภาพจิต
วัฒนธรรมองค์กร หมายถึง ค่านิยม ความเชื่อ และบรรทัดฐาน ที่เป็นเสมือนบุคลิกภาพขององค์กร วัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อสุขภาพจิต จะส่งเสริมให้พนักงานรู้สึกปลอดภัย ได้รับการยอมรับ มีคุณค่า และมีความสุขในการทำงาน ซึ่งจะช่วยลดความเครียด และส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
องค์กรควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการป้องกันและจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การกลั่นแกล้ง การคุกคาม หรือการเลือกปฏิบัติ ส่งเสริมให้พนักงานทุกระดับปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพ มีช่องทางการร้องเรียนที่ปลอดภัย และมีกระบวนการสอบสวนและจัดการปัญหาอย่างเป็นธรรม
สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สนับสนุนให้พนักงานร่วมมือกัน แบ่งปันความรู้ และช่วยเหลือกันเมื่อมีปัญหา
องค์กรควรมีช่องทางการสื่อสารภายในที่เปิดกว้าง โปร่งใส และเข้าถึงง่าย ส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และรับฟังความคิดเห็นของพนักงานอย่างจริงจัง
องค์กรควรมีนโยบายและแนวปฏิบัติที่ยุติธรรม โปร่งใส และชัดเจน เพื่อให้พนักงานรู้สึกมั่นใจว่าจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และมีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานอย่างเป็นธรรม
3.2 ออกแบบงานและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เหมาสะม
การออกแบบงานที่ท้าทาย มีความหมาย และสอดคล้องกับทักษะของพนักงาน ควบคู่กับการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย สะดวกสบาย และเอื้อต่อการทำงานร่วมกัน ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต และประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน
องค์กรควรมีระบบการบริหารจัดการภาระงานที่ดี กระจายงานอย่างเหมาะสม หลีกเลี่ยงการมอบหมายงานที่เกินกำลัง ส่งเสริมให้พนักงานใช้เวลาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ออกแบบงานให้มีความหลากหลาย ท้าทาย มีโอกาสให้พนักงานได้ใช้ทักษะและความสามารถอย่างเต็มที่ มอบหมายงานที่สำคัญและมีความหมาย เปิดโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้และพัฒนาตนเอง รวมถึงมีอิสระในการทำงานและตัดสินใจ
จัดหาทรัพยากรและเครื่องมือที่จำเป็นในการทำงานอย่างเพียงพอ สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่สะดวกสบาย ปลอดภัย
3.3 สนับสนุนพนักงานอย่างทั่วถึง
การสนับสนุนพนักงานในด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาทักษะ การให้คำปรึกษา และการดูแลสุขภาพ เป็นการแสดงให้เห็นว่าองค์กรใส่ใจ และให้ความสำคัญกับพนักงาน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความผูกพัน และความภักดีต่อองค์กร
องค์กรควรมีระบบการสนับสนุนพนักงานในด้านต่าง ๆ เช่น การฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะ การให้คำปรึกษาและคำแนะนำ การสนับสนุนจากหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงาน
องค์กรควรมีนโยบายที่เอื้อต่อการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว เช่น การทำงานแบบยืดหยุ่น การลาพักร้อน และกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้พนักงานมีเวลาพักผ่อน ดูแลสุขภาพกายและใจ และมีชีวิตส่วนตัวที่สมบูรณ์
ดิฉันหวังว่าการดำเนินการตามแนวทางเหล่านี้ จะช่วยให้องค์กรสามารถส่งเสริมสุขภาพจิตและสุขภาวะที่ดีของพนักงาน ลดความเครียด เพิ่มความผูกพัน และส่งผลให้พนักงานมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จขององค์กรในระยะยาว
แหล่งข้อมูล
บริการของเรา
โปรแกรมช่วยเหลือพนักงาน (Employee Assistance Program หรือ EAP) คือกลไกสำคัญในการดูแลสุขภาพจิตและสุขภาวะของพนักงานในองค์กร เราเชื่อว่าพนักงานที่มีสุขภาพจิตที่ดี คือรากฐานสำคัญขององค์กรที่เข้มแข็งและประสบความสำเร็จ
โปรแกรมของเราจึงมุ่งเน้นการให้การสนับสนุนที่ครอบคลุม ทั้งการป้องกัน การเยียวยา และการส่งเสริมศักยภาพ เพื่อช่วยให้พนักงานสามารถรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ทั้งในชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราตั้งใจให้บริการของเข้าถึงง่ายผ่านช่องทางที่หลากหลาย ในขณะเดียวกันก็คำนึงถึงความเป็นส่วนตัวและการรักษาความลับ เราให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมในองค์กรที่พนักงานรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจที่จะขอรับความช่วยเหลือ เราทำงานร่วมกับองค์กรอย่างใกล้ชิดเพื่อทำความเข้าใจถึงความต้องการและบริบทเฉพาะของแต่ละองค์กร เพื่อออกแบบโปรแกรมที่ตอบโจทย์และเหมาะสมที่สุด
โปรแกรมของเราครอบคลุมบริการที่หลากหลาย เช่น การปรึกษาเชิงจิตวิทยา การประเมินสุขภาวะทางจิตใจ การอบรมเชิงปฏิบัติการ การบรรยายให้ความรู้ ที่ปรึกษาด้านการดูแลสุขภาวะของพนักงาน รวมถึงการสนับสนุนอื่น ๆ ที่จำเป็น เพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดี ลดความเครียด เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เกื้อกูลกัน
เรามุ่งหวังที่จะเป็นพันธมิตรที่ไว้วางใจได้ขององค์กรในการดูแลสุขภาพจิตและสุขภาวะของพนักงาน เพื่อสร้างองค์กรที่มีความสุขและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน